null

ไขความลับฉลากครีมกันแดด ค่า PA และ SPF คืออะไร ?

ต้องยอมรับว่า 'แสงแดด' คือศัตรูตัวฉกาจที่ก่อให้เกิดสารพัดปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า กระ และปัญหาผิวอื่น ๆ ยิ่งอยู่ในประเทศเขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทย การหลีกเลี่ยงแสงแดดก็ยิ่งทำได้ยาก ดังนั้น 'ครีมกันแดด' จึงเป็นไอเทมสำคัญที่ควรต้องพกติดตัว และทาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดตัวร้ายนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ การเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และสภาพผิวของเราจึงสำคัญเป็นอย่างมาก มาดูวิธีอ่านฉลากครีมกันแดดง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลือกครีมกันแดดได้ที่บทความนี้

วิธีอ่านฉลากครีมกันแดดอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีอ่านฉลากครีมกันแดดด้วยตัวเอง

บนขวดผลิตภัณฑ์มักจะมีข้อมูลต่าง ๆ ระบุไว้มากมาย ครีมกันแดดก็เช่นกัน เพื่อให้การเลือกซื้อครีมกันแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด เรามีวิธีอ่านฉลากครีมกันแดดแบบมืออาชีพที่ทำตามได้ง่าย ๆ มาแนะนำ


1. ค่า SPF และรังสี UVB

เริ่มต้นกันที่ค่า SPF ที่ครีมกันแดดทุกขวดต้องมี ค่า SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor คือค่าความสามารถในการปกป้องผิวจากการไหม้แดง ซึ่งเกิดจากรังสี UVB ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แสบร้อน แดง และไหม้ โดยเวลาที่รังสี UVB รุนแรงที่สุดคือช่วง 10.00-14.00 น. และมีวิธีเลือกเบื้องต้น ดังนี้

  • SPF 10-15 เหมาะกับผู้ที่อยู่ในร่มทั้งวัน
  • SPF 15 ขึ้นไป เหมาะกับผู้ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งระหว่างวัน
  • SPF 30 ขึ้นไป เหมาะกับผู้ที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน


2. ค่า PA และรังสี UVA

ค่า PA คืออีกค่าหนึ่งที่ต้องระบุไว้บนฉลากครีมกันแดด ย่อมาจาก Protection grade of UVA ค่า PA จึงเป็นค่าที่บ่งบอกประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งรังสี UVA เป็นรังสีอัลตราไวโอเลตที่ทำร้ายผิวได้ถึงชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ ส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ผิวจึงหมองคล้ำ เหี่ยวย่น และเกิดริ้วรอยแห่งวัย โดยเราแบ่งค่า PA ได้ตามความสามารถในการป้องกัน ได้แก่

  • PA+ ป้องกันได้ในระดับเริ่มต้น เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องทำกิจกรรมนอกอาคาร
  • PA++ ป้องกันได้ในระดับปานกลาง เหมาะกับผู้ที่ต้องไปเจอแสงแดดบ้างระหว่างวัน
  • PA+++ ป้องกันได้ในระดับสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง
  • PA++++ ป้องกันในระดับสูงสุด เหมาะกับผู้ที่ต้องอยู่กลางแดดจัด


3. ส่วนผสมต่าง ๆ

ลำดับถัดไปคือ การพิจารณาส่วนผสมในครีมกันแดด ซึ่งสารกันแดดแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ 

  • Physical Sunscreen ช่วยสะท้อนรังสี UVA และรังสี UVB ออกไปจากผิว เช่น Zinc Oxide, Titanium Dioxide ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้าง และไม่ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน
  • Chemical Sunscreen ช่วยดูดซับรังสีไม่ให้ทะลุไปยังผิวหนัง แต่เป็นสารกันแดดกลุ่มสารเคมี จึงอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้
  • Hybrid Sunscreen เป็นสารกันแดดที่สามารถดูดซับและสะท้อนแสงแดดได้ในเวลาเดียวกัน


4. ประเภทเนื้อสัมผัสของครีมกันแดด

วิธีอ่านฉลากครีมกันแดดลำดับถัดไป คือประเภทเนื้อสัมผัส ซึ่งต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว หากผิวมัน ควรเลือกใช้ครีมกันแดดเนื้อเจล บางเบา ไม่อุดตันรูขุมขน แต่หากผิวแห้ง ควรเลือกใช้ครีมกันแดดเนื้อครีม นอกจากจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดแล้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วย


5. คุณสมบัติอื่น ๆ

ปิดท้ายวิธีอ่านฉลากครีมกันแดด ด้วยการสังเกตจากคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการกันน้ำ, สูตรปราศจากแอลกอฮอล์, สูตรไม่มีน้ำหอม เพื่อป้องกันอาการแพ้ รู้สึกไม่สบายผิว และตอบโจทย์การใช้งานสูงสุด

ค่า PA และ SPF ของครีมกันแดดคืออะไร

อันตรายจากการไม่ทาครีมกันแดด

เรียนรู้วิธีอ่านฉลากครีมกันแดด และรู้ว่าค่า PA กับ SPF คืออะไรแล้ว เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการทาครีมกันแดดมากยิ่งขึ้น นี่คืออันตรายจากการไม่ทาครีมกันแดดที่ไม่ควรมองข้าม และจะส่งผลต่อสุขภาพผิวคุณในระยะยาวอย่างแน่นอน


1. ก่อให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ

อันดับแรก แสงแดดจะทำให้คุณต้องเผชิญกับสารพัดปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีริ้วรอยแห่งวัย หรือเป็นฝ้า-กระ จากรังสี UVA และ UVB ที่กล่าวถึงไปข้างต้น ล้วนเป็นปัญหาผิวที่แก้ไขยาก และส่งผลต่อความมั่นใจทั้งสิ้น


2. เสี่ยงผิวไหม้ แดง อักเสบ และรู้สึกแสบร้อน

นอกเหนือจากปัญหาด้านความสวยงามแล้ว การไม่ทาครีมกันแดด ยังเป็นสาเหตุของอาการแสบร้อนผิว ผิวแดง ผิวไหม้ ผิวอักเสบ สร้างความไม่สบายผิว นำไปสู่ปัญหาผิวลอก และผิวหนังถูกทำร้ายจนถึงระดับเซลล์


3. เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง

แสงแดดมีส่วนประกอบของรังสี UV และสารก่อมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก หากผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน จะทำให้ DNA (Genotoxic) ถูกทำลาย และมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มมากขึ้น

เห็นอันตรายจากการไม่ทาครีมกันแดดแล้ว ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง อย่าลืมสร้างเกราะป้องกันให้ผิวด้วยครีมกันแดดหน้าประสิทธิภาพสูงจากเซตาฟิล ซึ่งเซตาฟิลขอแนะนำผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดสำหรับผิวบอบบางและแพ้ง่าย ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด รังสี UVA และ UVB ในทุกสถานการณ์ มีให้เลือก 2 สูตรสำหรับแต่ละสภาพผิว ดังนี้

เซตาฟิล เดย์ลี่ ดีเฟนซ์ ครีม เอสพีเอฟ 50

ครีมกันแดดสูตร Mineral เนื้อบางเบา ป้องกันรังสี UVA + UVB: ด้วยเทคโนโลยี Micronised Zinc Oxide ในขณะเดียวกันช่วยปลอบประโลมผิวและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวจากรังสี UVA/UVB และช่วยป้องกันริ้วรอยอันเนื่องมาจากแสงแดด


ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่อุดตันรูขุมขน ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย เหมาะสำหรับใช้บำรุงและกันแดดก่อนแต่งหน้า ไม่ทิ้งคราบสีขาว และกันน้ำได้นานถึง 2ชั่วโมง

เจลกันแดด Sun SPF 50+ Light Gel

ผลิตภัณฑ์กันแดดเนื้อเจล ปกป้องผิวยาวนานทั้งจากรังสียูวีเอ และรังสียูวีบีด้วยสูตร SPF 50+ PA++++ กันน้ำ กันเหงื่อ และทนน้ำทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบำรุงผิวด้วยว่านหางจระเข้และวิตามินอี ล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ยาวนาน ไม่เหนียวเหนอะหนะแม้มีผิวมัน เหมาะสำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย


นอกจากนี้ เซตาฟิลยังมีครีมกันแดดสำหรับเด็ก ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังแล้วว่าปลอดภัยต่อผิวบอบบางและแพ้ง่าย ปราศจากพาราเบนและน้ำหอม ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายผิว หาซื้อได้ที่ Shopee, Lazada ศูนย์การค้าและร้านขายยาชั้นนำทั่วประเทศ


ข้อมูลอ้างอิง: 

  1. เลือกครีมกันแดดที่ดีต้อง SPF สูง ๆ จริงหรือไม่. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/10212020-1024
null