“ผิวขาดน้ำ” คือสภาพผิวที่พบได้บ่อยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะสูงและสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างประเทศไทย ใครที่กำลังสงสัยว่าผิวของตนเองขาดน้ำหรือเปล่า มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริง อาการ และวิธีการดูแลรักษาด้วยสกินแคร์ที่ตอบโจทย์สุขภาพผิว เพื่อให้สามารถป้องกันและดูแลผิวได้อย่างถูกวิธี
Dehydrated Skin หรือ ผิวขาดน้ำ คือ ภาวะที่ผิวหนังมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและเกิดอาการแห้งกร้าน ไม่สดใส ขาดความยืดหยุ่น และอาจมีอาการคัน แสบ หรือลอกเป็นขุยได้ โดยภาวะนี้แตกต่างจากผิวแห้ง (Dry Skin) ซึ่งเป็นลักษณะผิวที่เกิดจากพันธุกรรมและมีการผลิตน้ำมันบนผิวหนังน้อยกว่าปกติ
อากาศที่มีความแปรปรวนและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวขาดน้ำ ไม่ว่าจะเป็นอากาศแห้ง ร้อนจัด หรือหนาวเกินไป การอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานาน การเผชิญแสงแดดโดยตรง หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกะทันหัน ล้วนส่งผลกระทบต่อความชุ่มชื้นของผิวหนังทั้งสิ้น โดยอากาศเหล่านี้จะดึงความชื้นออกจากชั้นผิวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวรู้สึกแห้งกร้านและขาดน้ำ
การล้างหน้าบ่อยเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์รุนแรง เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำลายชั้นไขมันธรรมชาติบนผิวหนัง นอกจากนี้ การใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าที่มีความเป็นกรด-ด่างสูง การขัดถูผิวแรงเกินไป และการใช้น้ำร้อนในการล้างหน้า ก็มีส่วนในการทำลายเยื่อหุ้มเซลล์และระบบป้องกันตามธรรมชาติของผิว ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและอ่อนแอลงได้
เรียกว่าแทบจะเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผิวขาดน้ำโดยตรงเลยทีเดียว เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ เซลล์ผิวก็จะขาดความชุ่มชื้นและไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยร่างกายจะลำเลียงน้ำไปยังอวัยวะสำคัญก่อน ทำให้ผิวหนังได้รับน้ำน้อยลง นำมาซึ่งผิวที่หมองคล้ำ แห้งกร้าน และขาดความยืดหยุ่น
สารอาหารบางชนิดมีบทบาทสำคัญต่อความชุ่มชื้นของผิว โดยเฉพาะวิตามินอี วิตามินซี และกรดไขมันต่าง ๆ ซึ่งการขาดสารอาหารเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอยเร็วขึ้น และไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้
การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว หรือมีส่วนผสมที่ทำให้ไม่สบายผิวซึ่งจะทำลายระบบปกป้องตามธรรมชาติของผิว เช่น บางผลิตภัณฑ์มีแอลกอฮอล์หรือส่วนผสมที่สามารถดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวได้ ก็จะทำให้ผิวแห้งกร้านและบอบบางมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวแห้งถึงแห้งมาก คลีนเซอร์สูตรนี้ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกแต่อ่อนโยน ด้วย GentleBright Technology ที่ประกอบด้วย Niacinamide และสารสกัดจากดอก Sea Daffodil ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสและเนียนนุ่ม
ครีมบำรุงเนื้อเข้มข้นที่สามารถฟื้นคืนความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานถึง 48 ชั่วโมง ด้วยส่วนผสมพิเศษจาก Sweet Almond Oil วิตามินบี 3 โปรวิตามินบี 5 และกลีเซอรีน ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่บอบบางและแพ้ง่าย จากการศึกษาทางคลินิก 97%* ของผู้ใช้ระบุว่าผิวชุ่มชื้นมากขึ้นหลังใช้ สามารถใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย
*จากการศึกษาทางคลินิกโดยใช้ Cetaphil Moisturising Cream เป็นเวลา 14 วัน ในอาสาสมัครจำนวน 50 ราย ก.ค. ถึง ส.ค. 2560 โดย Biometrix, Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา
ครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับตอนกลางวัน ที่มี SPF 15 ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด พร้อมลดเลือนจุดด่างดำด้วย GentleBright Technology ที่มีส่วนผสมคือ Niacinamide และสารสกัดจากดอก Sea Daffodil ช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอทั่วกันอย่างเห็นได้ชัดใน 4 สัปดาห์*
*จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครผ้หูญิงชาวเอเชียโดย IEC ประเทศสิงคโปร์ระหว่างเดือน ก.พ.ถึง มี.ค. 2563 จำนวน 41 รายสำหรับผลิตภัณฑ์เซตาฟิลไบรท์เฮลธ์ตี้เรเดียนซ์ไบรท์เทนนิ่งเดย์โพรเทคชั่นครีมเอสพีเอฟ15
ครีมบำรุงผิวกลางคืนที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวอย่างล้ำลึก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ผิวเป็นจุดด่างดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วย GentleBright Technology ที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้กระจ่างใสและสม่ำเสมอภายใน 4 สัปดาห์*
*จากการศึกษาทางคลืนิกในอาสาสมัครผ้หูญิงชาวเอเชียโดย IEC ประเทศสิงคโปร์ระหว่างเดือน ก.พ.ถึง มิ.ย. 2563 จำนวน 44 รายสำหรับผลิตภัณัฑ์เซตาฟิลไบรท์เฮลธ์ตี้เรเดียนซ์ไบรท์เทนนิ่งไนท์คอมฟอร์ทครีม
*เครื่องสำอางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสีผิวตามธรรมชาติของแต่ละบุคคลได้
เพราะผิวขาดน้ำคือสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังนั้น ไม่ว่าจะมีสภาพผิวแบบใด การทำความเข้าใจถึงสาเหตุและอาการของผิวขาดน้ำจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลและฟื้นฟูผิว เริ่มเลยวันนี้ ด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม อย่างมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้า ราคาสุดคุ้มจากเซตาฟิล สกินแคร์เพื่อผิวที่สุขภาพดี ชุ่มชื้น และเปล่งปลั่ง เสริมสร้างความมั่นใจให้คุณได้ทุกวัน
ข้อมูลอ้างอิง