ต้องยอมรับว่า 'แสงแดด' คือศัตรูตัวฉกาจที่ก่อให้เกิดสารพัดปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า กระ และปัญหาผิวอื่น ๆ ยิ่งอยู่ในประเทศเขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทย การหลีกเลี่ยงแสงแดดก็ยิ่งทำได้ยาก ดังนั้น 'ครีมกันแดด' จึงเป็นไอเทมสำคัญที่ควรต้องพกติดตัว และทาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดตัวร้ายนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ การเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และสภาพผิวของเราจึงสำคัญเป็นอย่างมาก มาดูวิธีอ่านฉลากครีมกันแดดง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลือกครีมกันแดดได้ที่บทความนี้
บนขวดผลิตภัณฑ์มักจะมีข้อมูลต่าง ๆ ระบุไว้มากมาย ครีมกันแดดก็เช่นกัน เพื่อให้การเลือกซื้อครีมกันแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด เรามีวิธีอ่านฉลากครีมกันแดดแบบมืออาชีพที่ทำตามได้ง่าย ๆ มาแนะนำ
เริ่มต้นกันที่ค่า SPF ที่ครีมกันแดดทุกขวดต้องมี ค่า SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor คือค่าความสามารถในการปกป้องผิวจากการไหม้แดง ซึ่งเกิดจากรังสี UVB ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แสบร้อน แดง และไหม้ โดยเวลาที่รังสี UVB รุนแรงที่สุดคือช่วง 10.00-14.00 น. และมีวิธีเลือกเบื้องต้น ดังนี้
ค่า PA คืออีกค่าหนึ่งที่ต้องระบุไว้บนฉลากครีมกันแดด ย่อมาจาก Protection grade of UVA ค่า PA จึงเป็นค่าที่บ่งบอกประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งรังสี UVA เป็นรังสีอัลตราไวโอเลตที่ทำร้ายผิวได้ถึงชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ ส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ผิวจึงหมองคล้ำ เหี่ยวย่น และเกิดริ้วรอยแห่งวัย โดยเราแบ่งค่า PA ได้ตามความสามารถในการป้องกัน ได้แก่
ลำดับถัดไปคือ การพิจารณาส่วนผสมในครีมกันแดด ซึ่งสารกันแดดแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ
วิธีอ่านฉลากครีมกันแดดลำดับถัดไป คือประเภทเนื้อสัมผัส ซึ่งต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว หากผิวมัน ควรเลือกใช้ครีมกันแดดเนื้อเจล บางเบา ไม่อุดตันรูขุมขน แต่หากผิวแห้ง ควรเลือกใช้ครีมกันแดดเนื้อครีม นอกจากจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดแล้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วย
ปิดท้ายวิธีอ่านฉลากครีมกันแดด ด้วยการสังเกตจากคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการกันน้ำ, สูตรปราศจากแอลกอฮอล์, สูตรไม่มีน้ำหอม เพื่อป้องกันอาการแพ้ รู้สึกไม่สบายผิว และตอบโจทย์การใช้งานสูงสุด
เรียนรู้วิธีอ่านฉลากครีมกันแดด และรู้ว่าค่า PA กับ SPF คืออะไรแล้ว เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการทาครีมกันแดดมากยิ่งขึ้น นี่คืออันตรายจากการไม่ทาครีมกันแดดที่ไม่ควรมองข้าม และจะส่งผลต่อสุขภาพผิวคุณในระยะยาวอย่างแน่นอน
อันดับแรก แสงแดดจะทำให้คุณต้องเผชิญกับสารพัดปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีริ้วรอยแห่งวัย หรือเป็นฝ้า-กระ จากรังสี UVA และ UVB ที่กล่าวถึงไปข้างต้น ล้วนเป็นปัญหาผิวที่แก้ไขยาก และส่งผลต่อความมั่นใจทั้งสิ้น
นอกเหนือจากปัญหาด้านความสวยงามแล้ว การไม่ทาครีมกันแดด ยังเป็นสาเหตุของอาการแสบร้อนผิว ผิวแดง ผิวไหม้ ผิวอักเสบ สร้างความไม่สบายผิว นำไปสู่ปัญหาผิวลอก และผิวหนังถูกทำร้ายจนถึงระดับเซลล์
แสงแดดมีส่วนประกอบของรังสี UV และสารก่อมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก หากผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน จะทำให้ DNA (Genotoxic) ถูกทำลาย และมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มมากขึ้น
เห็นอันตรายจากการไม่ทาครีมกันแดดแล้ว ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง อย่าลืมสร้างเกราะป้องกันให้ผิวด้วยครีมกันแดดหน้าประสิทธิภาพสูงจากเซตาฟิล ซึ่งเซตาฟิลขอแนะนำผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดสำหรับผิวบอบบางและแพ้ง่าย ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด รังสี UVA และ UVB ในทุกสถานการณ์ มีให้เลือก 2 สูตรสำหรับแต่ละสภาพผิว ดังนี้
ครีมกันแดดสูตร Mineral เนื้อบางเบา ป้องกันรังสี UVA + UVB: ด้วยเทคโนโลยี Micronised Zinc Oxide ในขณะเดียวกันช่วยปลอบประโลมผิวและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวจากรังสี UVA/UVB และช่วยป้องกันริ้วรอยอันเนื่องมาจากแสงแดด
ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่อุดตันรูขุมขน ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย เหมาะสำหรับใช้บำรุงและกันแดดก่อนแต่งหน้า ไม่ทิ้งคราบสีขาว และกันน้ำได้นานถึง 2ชั่วโมง
ผลิตภัณฑ์กันแดดเนื้อเจล ปกป้องผิวยาวนานทั้งจากรังสียูวีเอ และรังสียูวีบีด้วยสูตร SPF 50+ PA++++ กันน้ำ กันเหงื่อ และทนน้ำทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบำรุงผิวด้วยว่านหางจระเข้และวิตามินอี ล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ยาวนาน ไม่เหนียวเหนอะหนะแม้มีผิวมัน เหมาะสำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย
นอกจากนี้ เซตาฟิลยังมีครีมกันแดดสำหรับเด็ก ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังแล้วว่าปลอดภัยต่อผิวบอบบางและแพ้ง่าย ปราศจากพาราเบนและน้ำหอม ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายผิว หาซื้อได้ที่ Shopee, Lazada ศูนย์การค้าและร้านขายยาชั้นนำทั่วประเทศ
ข้อมูลอ้างอิง: